วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ฉันอยากจะเป็นอะไร


"ฉันอยากเป็นอะไรกันแน่"

ตอนป.๔ ฉันชอบขีดเขียนเส้นตรงและเส้นโค้งต่างๆ ลงในสมุดสีขาว
เพราะฉันอยากได้บ้านหลังใหม่ที่มันน่าอยู่มากกว่านี้

ถัดมาอีกสองปี ฉันออกวิ่งทุกวันหลังเลิกเรียน
เพราะคุณครูบอกว่า "ฉันวิ่งเร็วที่สุด"

พอขึ้นม.๑ ฉันไปยืนเป่าคาริเน็ทอยู่ในวงโยธวาธิต
เพราะเพื่อนคนหนึ่งลากไปกรอกใบสมัครด้วยกัน

จบ ม.๓ ...... ฉันไปสอบที่ไหนไม่ติด
ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร จะทำอะไร และจะเรียนต่อที่ไหน


รู้ตัวอีกทีก็นั่งเรียน ม.๔ ในห้องบ๊วย ห้องเรียนที่ไม่มีใครสนใจ


เกือบหนึ่งปีที่อยู่ที่นี่ ฉันรู้สึกทุกข์ทรมาน รู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง
รู้สึกถึงความเหลื่อมล้ำของสังคม ไม่ได้รับการเอาใจใส่แบบเดิม
เพียงเพราะพวกเราเป็นเด็กห้องบ๊วย ห้องเรียนที่ถูกตราหน้าว่า เป็นพวกเด็กไม่เอาไหน


ทั้งๆที่ ฉันเคยเป็นหัวหน้าห้อง เป็นเด็กเรียนดีและเคยเรียนอยู่ห้องควีนมาก่อน
ฉันเคยแข่งชนะการวาดรูป เคยวิ่งได้เหรียญทอง
เคยเป็นหัวหน้าวงดนตรี และ ได้เล่นดนตรีต่อหน้าพระที่นั่ง มาแล้ว


ฉันเริ่มรู้สึกว่า ในโลกนี้มันช่างไม่ยุติธรรม ฉันเริ่มกลัว และต้องหาที่อยู่ใหม่


ในปีนั้น ฉันซ้อมดนตรีอย่างหนัก ในกระเป๋ามีแต่สมุดวาดรูป
ฉันวิ่งกลับบ้านแข่งกับรถเมล์หลังเลิกเรียนทุกวัน
เพียงเพื่อ ฉันจะได้รู้สึกว่าตัวเองยังมีค่าอยู่

ฉันทำแบบนี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน จนฉันเริ่มหลงใหล
ฉันมีความสุขกับเสียงเครื่องเป่าของตัวเอง สนุกกับการวาดภาพสีน้ำ
และปลดปล่อยตัวเองด้วยการวิ่ง วิ่ง วิ่ง และก็วิ่ง


จนฉันวิ่งไปเจอ วิชาการถ่ายภาพ จากหนังสือที่ฉันเอามาเป็นแบบต้นแบบสำหรับการวาดรูป


ภาพถ่ายและกล้องถ่ายรูปในหนังสือเล่มนั้น
เริ่มมีมนต์เสน่ห์กับฉันอีกครั้ง
มันสวยงามซะยิ่งกว่าสิ่งใดๆ
จนฉันหลงใหลและฝันอยากเป็น....ช่างภาพ


ปีถัดมาฉันมายืนอยู่ในแผนกที่เรียกว่า "วิชาการถ่ายภาพและภาพยนตร์"

ฉันหลงใหลที่นี่ และมีเพื่อนเล่นดนตรีกลุ่มใหม่
ฉันตระเวณออกถ่ายรูป และ ออกเล่นดนตรีกับวงลูกทุ่งตามต่างจังหวัด

ทุกอย่างดูสวยงาม มีความสุข ที่นี่มีทุกอย่างที่ฉันชอบ
ฉันใช้ชีวิตอยู่กับที่นี่ เป็นเวลา ๕ ปี ฉันก็จบหลักสูตร

ทุกอย่างเหมือนวนกลับมาอีกครั้ง
ฉันต้องจากที่นี่ไป....ฉันต้องออกไปหางานทำ

ฉันเริ่มหวาดกลัว......

ฉันเริ่มงานครั้งแรกกับจอคอมพิวเตอร์ในห้องสีมืดๆ ดำๆ
วันๆได้แต่นั่งอยู่ในนี้ จนฉันรู้สึกเหมือนว่า.....

ฉันกำลังติดคุก

มีคนเอาข้าวเอาน้ำมาส่ง มีข้อความมาบอกว่าฉันต้องทำอะไรบ้าง
ฉันไปไหนไม่ได้ ไม่ได้กลับบ้าน กินและนอนที่นั่น


ฉันได้แต่มองภาพถ่ายที่อยู่บนหน้าจอวิ่งไปวิ่งมา
เห็นผู้คนต่างๆ มากมาย ได้ยินเสียงหัวเราะต่อกระซิบ
ได้ยินเสียงภูเขา ได้ยินเสียงแม่น้ำ ได้ยิงเสียงต่างนานา
แต่ฉันกลับไปอยู่ตรงนั้นไม่ได้


หัวใจฉันเริ่มขึ้นสนิม

ฉันรู้สึก อดรนทนไม่ได้ กับสิ่งที่เกิดขึ้น
และแล้ววันหนึ่ง ฉันก็ต้องตัดสินใจอีกครั้ง
ฉันอยากไปผจญโลกกว้าง อยากออกไปพบปะผู้คน
ฉันอยากมีชีวิตใหม่ บนโลกใบใหม่

มีหลายคนบอกว่ามันเสี่ยงมาก แต่ฉันไม่เคยกลัว
ฉันตัดสินใจลาออกและตระเวณออกหางานอีกครั้ง
เงินในกระเป๋าเริ่ม ละลายหายไปทุกทีๆ

ตอนนั้นฉันตระเวณออกไปสมัครงาน และก็สมัครงาน จนในที่สุด
เพื่อนตัวเล็กๆ คนหนึ่งก็มาชวนฉันไปทำงานด้วย
ฉันก็ได้มายืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน ขุนเขา กองถ่ายหนัง
ฉันเริ่มงานใหม่ด้วยความรัก และหวังอยู่เงียบๆว่า

สักวันฉันจะมีหนังเป็นของตัวเอง

ฉันต้องใช้ความอดทนอย่างสูง ตลอดเวลาที่ทำงาน
เพราะฉันมีนาฬิกาชิวิตที่ ปรับอย่างไรก็ไม่ตรงกับใคร


เพื่อนฝูงที่เคยจับมือมาด้วยกัน เริ่มหนีไปทีละคนสองคน
แต่ฉันก็ไม่เคยท้อถอย เฝ้าอดทนกับสิ่งที่ฉันเลือก...ต่อไป

จนถึงวันนี้ ผ่านมาแล้ว เกือบสิบเอ็ดปี ...

เป็นสิบเอ็ดปีที่ฉันรอคอย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันก็จะรอคอยมัน
เพราะมีผู้ชายคนหนึ่งพร่ำเพียรสอนฉันตลอดเวลาว่า

สิ่งที่แตกต่างของคนเราทุกๆคนก็คือโอกาส

เราไม่มีทางรู้หรอกว่า ในชีวิตของเรา จะมีซักกี่โอกาส
และไม่รู้หรอกว่า โอกาสนั้นมันจะลอยมาตอนไหน
หากมันลอยมาตอนที่เรายังไม่พร้อม คุณก็เสียโอกาสนั้นไป

หากมันมาตอนที่คุณพร้อมคุณก็ได้มันไป


ที่ทำได้ก็แค่เฝ้ารอ


สำหรับคนบางคน ทั้งชีวิต อาจมีโอกาสแค่ครั้งเดียว บางคนอาจมี จนนับครั้งไม่ถ้วน

หากมันไม่ลอยมาเลยอีกล่ะ เราจะทำอย่างไร

ดังนั้น ที่ควรทำตอนนี้คือ การฝึกฝนตัวเอง
เราควรฝึกตัวเองไว้ให้พร้อม เพื่อรอรับกับโอกาส

เพราะเราไม่มีทางรู้หรอกว่า มันจะลอยมาอีกเมื่อใด

เมื่อเราพร้อมแล้ว และโอกาสนั้นก็ไม่มาซักที
เราก็ควรที่จะเดินหน้า เพื่อไปค้นหาโอกาสนั้น


ฉันฟังคำสอนเหล่าอย่างตั้งใจ ...
ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ไม่มีอะไรยากเกินไปสำหรับฉัน

หากฉันเพีียงแต่หมั่นเพียรถามหัวใจตัวเองให้แน่ว่า


" ฉันอยากเป็นอะไร "

1 ความคิดเห็น: